วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

Link m.4/2


                                      Blogger My friend  ><
เลขที่ 01 : ไปอเมริกา
เลขที่ 02 :
เลขที่ 03 :
เลขที่ 04 : http://peatarn.blogspot.com/
เลขที่ 05 :
เลขที่ 06 : http://nujunenongnapas.blogspot.com/ 
เลขที่ 07 :
เลขที่ 08 :
เลขที่ 09 : http://maprangmycomputer.blogspot.com/
เลขที่ 11 : http://stdworkm45.blogspot.com/
เลขที่ 12 : http://game22223.blogspot.com/
เลขที่ 13 : http://supermakebam.blogspot.com/
เลขที่ 14 : http://ponglist.blogspot.com/
เลขที่ 15 :
เลขที่ 16 : http://jenjira123.blogspot.com/
เลขที่ 17 : http://pimonpakchok.blogspot.com/
เลขที่ 18 : http://kfjgo.blogspot.com/ 
เลขที่ 19 : http://kaewer.blogspot.com/
เลขที่ 20 :
เลขที่ 21 : http://paitong4x400m.blogspot.com/
เลขที่ 22 : http://with-me-love.blogspot.com/
เลขที่ 23 : http://ing789.blogspot.com/
เลขที่ 24 : http://ttdialogue.blogspot.com/
เลขที่ 25 :
เลขที่ 26 : http://freeweb4226.blogspot.com/
เลขที่ 27 : http://somoo13.blogspot.com/
เลขที่ 28 :
เลขที่ 29 :
เลขที่ 30 :
เลขที่ 31 :
เลขที่ 32 : http://buddyyyyy.blogspot.com/
เลขที่ 33 :
เลขที่ 34 :
เลขที่ 35 : http://carcap.blogspot.com/
เลขที่ 36 :
เลขที่ 37 :
เลขที่ 38 : http://yungkaoaboutme.blogspot.com/
เลขที่ 39 :
เลขที่ 40 :

Diary ♥

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! เจ้าไดอารี่
วันนี้วันแรกเลยนะเนี้ยยย -0-

เอาตรงๆ วันๆฉันก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก -3-
เช้ามาก็  >>อาบน้ำไป โรงเรียน
                >>เรียน
                >> พัก
                >>เรียน
                >>พักกินข้าววววว
ตอนบ่าย  >>เรียน T^T
ตอนเย็นๆ >>ไปขายของ(เด็กดีป่ะล่ะ อิอิ)
                  >>อาบน้ำ
                  >>ทำการบ้าน
                  >>สุดท้ายยยย ก็นอน...
                            หมดไป 1 วัน  ZzzzZ คร๊อกกกกกกกกกฟี้!!!!!! 14/09/55





เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! เจ้าไดอารี่
วันนี้วันที่ 2 แล้วววววว ><''

วันนี้วันหยุด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ 
เช้ามาก็  >>ทำงานบ้าน
                >> กินข้าว
                >>อาบน้ำ
                >>เล่นคอม
ตอนบ่าย  >>เล่นคอมอย่างเดียว
ตอนเย็นๆ >>ไปขายของ(เด็กดีป่ะล่ะ อิอิ)
                  >>อาบน้ำ
                  >>ทำการบ้าน
                  >>สุดท้ายยยย ก็นอน...
                            หมดไปอีก 1 วัน  ZzzzZ คร๊อกกกกกกกกกฟี้!!!!!! 15/09/55




เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! เจ้าไดอารี่
วันนี้วันที่ 3 แล้วนะเนี้ยยย -0-

วันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานหรอก เฮ้ออออออ -3-
เช้ามาก็  >>ทำงานบ้าน
                >> กินข้าว
                >>อาบน้ำ
                >>เล่นคอม
ตอนบ่าย  >>เล่นคอมอย่างเดียว
ตอนเย็นๆ >>ไปขายของ
                  >>อาบน้ำ
                  >>ทำการบ้าน
              >>ก็เขียนเเกนี่แหละ -3-
                  >>สุดท้ายยยย ก็นอน...
 ปล. กิจกรรมซ้ำๆ ทำทุกวันหยุด - -
                            หมดไปอีก วัน  ZzzzZ คร๊อกกกกกกกกกฟี้!!!!!! 16/09/55




เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! เจ้าไดอารี่
วันนี้วันที่ 4 แล้วววววว ><''

วันนี้วันจันทร์ T T 
เช้ามาก็    >>อาบน้ำ ไปโรงเรียนสิ - -
                >>ไปเรียน
                >>พักเที่ยง
ตอนบ่าย  >>เรียนจ้าาาา TT คณิต เคมี ฟิสิกส์ ปล.แต่ละวิชา
ตอนเย็นๆ >>ไปขายของ(เด็กดีป่ะล่ะ อิอิ)
                  >>อาบน้ำ
                  >>ทำการบ้าน
                  >>สุดท้ายยยย ก็นอน...
                            หมดไปอีก 1 วัน  ZzzzZ คร๊อกกกกกกกกกฟี้!!!!!! 17/09/55

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555




ประโยชน์ของน้ำ
น้ำเป็นสิ่งจำเป็น เรามาดูกันดีกว่าว่าน้ำมีประโยชน์อะไรบ้าง

1. มนุษย์ใช้น้ำดื่ม น้ำชนิดนี้ต้องสะอาดปลอดภัย สิ่งเหล่านี้เริ่มสำคัญและจำเป็นมากขึ้นเมื่อตอนรู้จักว่าน้ำไม่
สะอาดนั้นเปรียบเสมือนยาพิษ
2. มนุษย์ใช้ในบ้านเรือน เช่น ใช้อาบ ใช้ซักฟอก ใช้ปรุงอาหาร ชำระล้าง ถ่ายเทของเสีย กะกันว่าคนหนึ่ง ๆ ถ้าจะใช้น้ำให้พอดี ๆ คนหนึ่ง ๆ จะต้องใช้น้ำ 100ลิตรต่อวัน
3. ใช้ในด้านอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมทุกชนิดต้องใช้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการ
ถลุงเหล็ก ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก คือจะใช้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมแต่ละชนิด บางครั้งถ้าโรงงาน
อุตสาหกรรมขาดแคลนน้ำมากเข้าก็อาจเลิกกิจการการอุตสาหกรรมใช้น้ำดังนี้
3.1ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
3.2ใช้เป็นตัวละลายวัตถุที่ใช้ในอุตสาหกรรม
3.3ใช้เป็นตัวทำความสะอาดล้างวัตถุดิบ
3.4ใช้กำจัดของเสียของโรงงานอุตสาหกรรม
4. น้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลา และสัตว์น้ำ
5. ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เช่น ว่ายน้ำ พายเรือ และอื่น ๆ
6. ใช้เป็นทางคมนาคม การขนส่งทางน้ำมีความสำคัญมาก เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
7. น้ำให้พลังงาน อาจจะนำพลังงานไปใช้ในโรงงานโดยตรง หรือนำไปเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า
8. ใช้ในการเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ เพราะน้ำจำเป็นสำหรับความเจริญงอกงามของพืชซึ่งหมายถึงพืชที่มนุษย์
เพาะปลูกด้วย น้ำที่ใช้ในการนี้มีมากกว่าการใช้น้ำประเภทอื่น ๆ
สำหรับเรื่องน้ำในประเทศไทยบริเวณที่มีปัญหาเรื่องน้ำมีอยู่ไม่น้อยกว่า 1ใน 3ของเนื้อที่ทั้งหมดของประเทศ บริเวณนี้อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้กระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณเงาฝน (Rain shadow) ถ้าพิจารณาน้ำฝนเฉลี่ยในประเทศทั่วไปมีไม่ต่ำกว่า 50นิ้ว ปริมาณฝนนี้มีพอที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาถึงความแห้งแล้งในประเทศไทยอาจพิจารณาได้ดังนี้
1. การกระจายของฝน ส่วนใหญ่ฝนที่ตกในประเทศ มักจะตกอยู่ในช่วงระยะ 6-7เดือน หลังจากนั้นอาจกล่าวได้ว่าไม่มีฝนเลย จึงทำให้เกิดแห้งแล้งได้
2. ความสม่ำเสมอของฝน ส่วนมาก ฝนที่ตกในประเทศไทย มักจะไม่สม่ำเสมอบางทีอาจตกเป็นปริมาณมาก บางทีตกน้อย ขึ้นอยู่กับภาวะของอากาศ


10 อันดับ อาหารอันตรายที่หลายคนชอบกิน……….
อันดับ 10
โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว
         การทอดโปเตโต้ชิ พจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
อันดับ 9
โดนัท
         โดย เฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
อันดับ 8
ไอศครีม
         มี ไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
อันดับ 7
ชิ้นไก่เนื้อนุ่มไม่มีกระดูก
         ทำ มาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ
อันดับ 6
 
น้ำอัดลม
         สาร ตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
อันดับ 5
พิซซ่า
         พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไป ด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์ก?รม 5 ชนิด -. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น -. แป้ง ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่ -ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน -แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม -มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้
อันดับ 4
โอริโอ้ คุกกี้
         ที่ เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อก โกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
อันดับ 3
เฟรนช์ฟราย
         เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
อันดับ 2
ฮอทด็อก
         ฮอทด็อก ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อ ส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
อันดับ 1
แฮมเบอร์เกอร์
         แฮมเบอร์เกอร์ ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และ นำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ


การเตรียมความพร้อมพลเมืองไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน


“การเตรียมความพร้อมพลเมืองไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 2558” เป็นหัวข้อหลักในเวทีประชุม-สัมมนา-อภิปราย ทุกหนแห่ง ทุกโอกาส ทุกสถาบัน ทุกองค์กรที่สนใจเรื่องอาเซียนตั้งแต่ปีที่แล้ว (2554) จนถึงปีนี้ (2555) การบรรยายหรืออภิปรายในประเด็นการเตรียมพร้อมนี้ดูประหนึ่งว่าในเวลานี้ยังไม่เป็นไรนัก ยังมีเวลาเตรียมตัวไปจนกว่าจะถึงปี 2558 ถึงตอนนั้นแล้วก็คงจะพอไปกันได้ ไม่ว่าที่ว่าจะไปกันนั้น จะไปไหนกันก็แล้วแต่ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง จะได้สบายใจกัน หรือจะได้กลุ้มใจกันบ้าง ก็สุดแล้วแต่ท่านทั้งหลายจะเลือกทุกข์เลือกสุขกันเอาเอง ขออธิบายเรื่องประชาคมอาเซียนกับการเตรียมพร้อมของประชาชนพลเมืองไทยดังต่อไปนี้
     
อาเซียน คืออะไร?
“อาเซียน” อธิบายอย่างเป็นทางการได้ว่าคือ “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่ตัวย่อชื่อภาษาอังกฤษย่อได้ว่า “ASEAN” ซึ่งมาจากชื่อเต็มว่า “Association of Southeast Asian Nations” แต่แรกเริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2510 อาเซียนเป็นสมาคมของประเทศสมาชิกจริงๆ ซึ่งแรกเริ่มมีสมาชิกเพียง 5 ประเทศ คือ Indonesia, Malaysia, Philippines, Singapore และ Thailand จนถึงวันนี้อาเซียนได้สมาชิกมาเพิ่มอีก 5 ประเทศ คือ Brunei Darussalam, Cambodia, Lao, Myanmar และ Vietnam (เรียงชื่อประเทศตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ) สภาพการเป็นสมาคมของประเทศที่เป็นสมาชิกก็มีความหมายเพียงการคบค้าสมาคมไปมาหาสู่ประชุมเล็กประชุมใหญ่ร่วมกันเป็นระยะๆ ลงนามในเอกสารปฏิญญาหรือสนธิสัญญาอะไรต่อมิอะไรร่วมกัน ลงนามก็ลงนามกันไป จากนั้นผู้นำของทุกประเทศก็แยกย้ายกันกลับประเทศตนเอง กลับไปทำตามความตกลงหรือจะทำช้ากว่ากำหนด หรือจะไม่ทำอะไรเลยทั้งๆที่ลงนามในความตกลงกันไปแล้วก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีบทลงโทษ ไม่มีใครจะว่าอะไรให้เสียหาย อาเซียนจึงเกิดมาอย่างไม่เติบโตเหมือน “ทองไม่รู้ร้อน” แต่ความไม่รู้้ร้อนไม่รู้หนาวของอาเซียนจะยังคงแบบเดิมต่อไปมิได้อีกแล้ว เพราะขณะนี้อาเซียนจะเอาจริงแล้วในการทำงานร่วมกันในหมู่ 10 รัฐสมาชิก โดยปรับบทบาทอาเซียนให้เป็นองค์กรที่งานรับผิดชอบมากกว่าในสถานภาพสมาคม โดยอาเซียนประกาศให้ 10 ประเทศสมาชิกร่วมมือกันปรับโครงสร้างและเป้าหมายของ “สมาคม” ให้เป็น “ประชาคม” ให้ได้ในเร็ววัน
                   
ประชาคมอาเซียนคืออะไร?
คำว่า “ประชาคม” ถูกใช้เรียกกระบวนการสร้างสัมพันธ์ในอาเซียนมาแต่แรกเริ่ม เมื่อมาถึงวันนี้อาเซียนปรับแนวทางมามุ่งสร้างทั้งรัฐและประชาชนพลเมืองของทั้ง 10 ประเทศ ให้หล่อหลอมความคิดร่วมกัน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันดุจว่าจะรวมทั้ง 10 ประเทศให้เป็นเกือบเหมือนประเทศเดียวกัน ในข้อเท็จจริงแล้วทุกประเทศยังคงเป็นประเทศเอกราชเช่นเดิม ดูแลบริหารปกครองประชาชนพลเมืองของตนเป็นสังคมประเทศตามเดิม แต่อาเซียนต้องการให้ทั้ง 10 ประเทศคิดร่วมกันใหม่ว่าให้เราทั้งหมดหลอมรวมวิถีการดำเนินชีวิตทุกมิติให้เป็น 10 ประเทศร่วมชตากรรมเดียวกันเป็นหนึ่งประชาคม เรียกความสัมพันธ์ในภาพรวมทั้งหมดนี้ว่าเป็น “ประชาคมอาเซียน” แม้ว่าแต่ละประเทศยังแยกอยู่เป็นประเทศๆไป แต่ความรู้สึกนึกคิดและแนวนโยบายการปฏิสัมพันธ์กันในภูมิภาคให้ถือว่าทั้ง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมกันเป็น “หนึ่งประชาคม” เรียกว่า “ประชาคมอาเซียน” ให้พวกเราทุกคนในภูมิภาคช่วยกันทำงาน สร้างความร่วมมือระหว่างกัน ทำให้เกิดความรู้สึกจริงๆให้ได้ว่าเราทั้งหมดเป็นประชาคมเดียวกัน มีความรู้สึกเป็นกลุ่มชาติกลุ่มพลเมืองที่มีอัตลักษณ์ร่วมกัน มีแนวคิดแนวฝันมองการณ์ไกลไปข้างหน้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเหหตุนี้อาเซียนจึงสร้างคำขวัญเป็นหลักนำทางว่าอาเซียนมี “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (One Vision, One Identity, One Community) อาเซียนตั้งเป้าไว้สูง แต่เป็นเป้าที่ไม่เกินเอื้อม จับต้องได้ ทำให้สำเร็จได้ และต้องการทำให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2558 หรือ ค.ศ. 2015 ให้จงได้ ดังนั้นในปีที่ประเทศไทยรับหน้าที่ประธานอาเซียน จากเดือนสิงหาคม 2551 ถึง เดือนธันวาคม 2552 อาเซียนได้ประกาศ “Roadmap for an ASEAN Community 2009-2015” หรือ “แผนปฏิบัติการสู่ประประชาคมอาเซียน 2009-2015”  ซึ่งจัดแยกแผนงานสร้างประชาคมเป็น 3 เรื่องสำคัญพื้นฐาน คือ :
1. การเมืองและความมั่นคง
2. เศรษฐกิจ
3. สังคมและวัฒนธรรม
ทั้งสามเรื่องใหญ่นี้อาเซียนเรียกเป็นทางการว่าเป็นสามเสาหลักหรือเสาค้ำประชาคมอาเซียนในภาพรวมให้แข็งแกร่ง สามเรื่องสามเสาหลักนี้อาเซียนเรียกแยกเป็น 3 ประชาคมแยกย่อยช่วยค้ำจุนประชาคมอาเซียนในภาพรวมให้มั่นคง
1. เสาหลักเศรษฐกิจ เรียกว่า “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”
2. เสาหลักการเมือง เรียกว่า “ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
3. เสาหลักสังคมและวัฒนธรรม เรียกว่า “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน”
ทั้งสามเสาหลัก หรือ สามประชาคมนี้ เรียกรวมกันว่าเป็น “ประชาคมอาเซียน”
ประชาคมอาเซียนมีความสำคัญต่อพลเมืองไทย (และพลเมืองอาเซียน) อย่างไร?
ประชาคมอาเซียนทั้งสามเสาหลักมีความสำคัญต่อแบบแผนการสร้างความร่วมมือกันระหว่างประเทศ หากเป็นในอดีตเรื่องทำนองนี้จะถูกปัดไปเป็นเรื่องในความรับผิดชอบของรัฐบาล ประชาชนไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ในเมื่ออาเซียนพลิกความคิดใหม่ตามกฏบัตรอาเซียนที่ประกาศให้มีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2551/2008 ดุจเป็นรัฐธรรมนูญร่วมของอาเซียนที่รัฐสมาชิกทั้งหายต้องยึดถือและปฏิบัติตาม เมื่อเป็นดังนี้แล้วทุกเรื่องที่เกิด ทุกอย่างทำ จะมีผลกระทบต่อประชาชนพลเมืองไทยและพลเมืองอีก 9 ประเทศของอาเซียนโดยตรง ทั้งการเมืองและความมั่นคง ทั้งการเศรษฐกิจ และทั้งด้านสังคมและวัฒนธรรม  เพราะอะไรที่กำหนดแล้วว่าจะทำ ก็ต้องทำเหมือนกันหมด กระทบเท่ากันหมดในทุกประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียน หากลงนามสร้างสันติภาพร่วมกัน พลเมืองทั้งหลายก็ต้องช่วยกันสร้างสันติภาพระหว่างกัน หากตกลงว่าจะเปิดพรมแดนไปมาหาสู่ ทำมาค้าขายกันอย่่างเสรี ไม่มีกำแพงขวางกั้น ทั้งกำแพงภาษีและกระบวนงานด่านศุลกากร อาเซียนบอกว่าให้สะดวกรวดเร็วก็จะต้องทำให้ได้สะดวกรวดเร็วเสมอเหมือนเท่าเทียมกันทั้งหมด เมื่ออาเซียนตกลงให้เปิดเขตการค้าเสรีก็ต้องเปิดเสรีพร้อมกันทั้งหมด หากอาเซียนตกลงว่าจะต้องจรรโลงรักษาความแตกต่างหลากหลายทางภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมในอาเซียนให้เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของอาเซียนร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกชาติทุกกลุ่มวัฒนธรรมธรรมในท้องถิ่นต่างๆของอาเซียนก็จะต้องมีจิตสำนึกร่วมอัตลกษณ์เดียวกันให้ได้ รวมความว่าความตกลงของอาเซียนผ่านการลงนามของผู้นำในระดับต่างๆล้วนมีผลกระทบต่อพลเมืองไทยและพลเมืองอาเซียนทั้งสิ้น
พลเมืองไทย ยังไม่พร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
การเกิดของประชาคมอาเซียนเป็นการค่อยๆเกิด ค่อยๆพัฒนา ค่อยๆเติบโต และค่อยเป็นค่อยไป เป็นกระบวนการที่ถูกปล่อยให้พัฒนาไปช้าๆมาแตแรกเริ่ม แต่มาถูกเร่งให้เป็นรูปธรรมโดยตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2558/2015 และมีเอกสารคู่มือการทำงานไปสู่ประชาคมอาเซียนที่เรียกว่า “Roadmap for an ASEAN Community” และเอกสารที่ว่านี้ก็เพิ่งจัดทำได้มาเพียงสามปีเท่านั้น นับจากปี 2552/2009 เหลือเวลาอีกเพียงสี่ปีเท่านั้นที่จะถึงปีเป้าหมายของการเกิดประชาคมอาเซียน เวลาของการเตรียมพร้อมนั้นน้อยมาก ความตื่นตัวในหมู่ประชาชนไทยเองยังไม่ปรากฏ นอกเหนือไปจากการทำกิจกรรมในสถาบันการศึกษาจำนวนไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังพบว่ารัฐบาลเองก็ยังไม่ตื่นตัว ยังไม่มีแผนยุทธศาสตร์ใดๆเลยในอันที่จะนำทางประชาชนไปสู่ประชาคมอาเซียน รัฐบาลปัจจุบันยังไม่ประกาศแผนปฏิบัติการส่วนของไทยในการไปสู่ประชาคมอาเซียนเลย
ดังนั้นภาคประชาชนจึงไม่มีทิศทางในการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไร เมื่อไร และจะพึ่งใครได้ ถ้าต้องการข้อมูลข่าวสารเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
                        
นี่คือความน่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยและพลเมืองไทย
ที่มา!!!!!!!!!!! >> http://www.dailynews.co.th/article/825/7029 <<

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

               
                เด็กหญิง สรัลพัชร   สนอ่อง

                               ชั้น ม.4/2